เว็บไซต์ ต่างจาก Facebook Page อย่างไรบ้าง?
หลายท่านที่ทักมาถามตอบให้แล้วในเนื้อหานี้จ้า อ้างอิงไปตอนที่เหตุการณ์ Facebook เกิดปัญหาระบบรวน ยิงโฆษณาไม่ได้ ปิดกั้นการมองเห็น บางรายโดนบล๊อคเพจ ปิดเพจ หรือ เพจบิน เลยก็มี จนหลายท่าน หลายองค์กรปวดหัวไปตามๆกันเพราะในเฟสบุ๊คเพจ นั้นมีทั้งลูกค้าและผู้ติดตามอยู่จำนวนมาก บางเพจมีผู้ติดตามถึงหลักล้านคน เรียกว่า เกิดอาการสาหัสไปไม่เป็นกันเลยก็ว่าได้ เพราะเหมือนว่าต้องสร้าง ต้องเปิดบัญชีกันใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร
เอาละเข้าเรื่องกันดีกว่า เดี๋ยวจะยาวไปจ้า ข้อดีของเว็บไซต์ ที่เหนือกว่าเพจ Facebook นั้นเป็นอย่างไร ต่างก็มีคนแย้งกันไปมาว่า Facebook Page ดีกว่า บ้างก็ว่า Website ดีกว่าอยู่แล้ว ใช้ติดต่อกันมายาวนานกว่า มีความน่าเชื่อถือกว่า เว็บผึ้งงานจะของเล่าและสรุปให้ฟังคร่าวๆ ดังนี้
1. การเป็นเจ้าของ
เว็บไซต์นั้นเปรียบได้เสมือนบริษัท ห้างร้าน องค์กร ร้านค้า ที่ย้ายจากโลกจริง(บนพื้นดิน) มาตั้งไว้บนโลกอินเตอร์เน็ต(ออนไลน์) ซึ่งจะเป็นเสมือนศูนย์รวมบริการ การติดต่อ ประวัติความเป็นมา ผู้บริการ ที่ตั้งที่ชัดเจนและเจ้าของนั่นเองที่จะเป็นผู้ครอบครอง เป็นเจ้าของเว็บไซต์นั้นจริงๆ ซึ่งต่างจาก Facebook Page และแพล็ตฟอร์มฟรีต่างๆ ที่เห็นได้ชัดเจนก็ส่วนนี้ ที่ยากต่อการควบคุม เราไม่สามารถควบคุมเป็นเจ้าของมันได้จริงๆ ซึ่งเราก็เป็นแค่เพียงหนึ่งในสมาชิกในแพล็ตฟอร์มนั้นๆ ก็เท่านั้น
ฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหา ความผิดพลาด ข้อพิพาทต่างๆ ก็อาจจะถูกรายงาน แจ้งเตือน แจ้งบล๊อก ไปเจ้าของที่แท้จริงเพื่อสั่งปิด ระงับได้ง่าย เพียง 24 ชั่วโมง เพราะเราไม่ได้เป็นเจ้าของมันจริงๆ ส่วนเว็บไซต์จะถูกปิดได้ก็ต่อเมื่อเราเองแจ้งยกเลิก หรือ มีคำสั่งศาลสั่งให้สั่งปิดเท่านั้น
2. การรองรับการค้นหาข้อมูลผ่าน Google
เนื่องจาก Google เป็นระบบค้นหา Search Engine อันดับหนึ่งของโลก การค้นหาสินค้าและบริการ ก็ยังต้องพึ่งพาช่องทางนี้ รวมถึง Google Partner ทั่วโลก เช่น Youtube เป็นต้น รวมถึงโฆษณา Google Adsense และ Google Adwords ก็ต้องใช้เว็บไซต์ในการเชื่อมต่อนั่นเอง แม้ว่าเพจ Facebook จะเชื่อมต่อได้ก็ตาม แต่ระบบการค้นหา Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์เป็นที่ 1 เพราะมีความเป็นระเบียน มีความน่าเชื่อถือของข้อมูลมากกว่า ซึ่งการมีเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มในส่วนนี้ได้
เป้าหมายหลักของโซเชียลมีเดีย นั้นมีเพื่อการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ไลพ์สไตล์ ความบันเทิง ไปจนถึงพูดคุยในกลุ่ม หรือเพจต่าง ๆ ที่เขาชื่นชอบ และการแชร์เรื่องราว หรือติดตามดราม่าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่การค้นหาข้อมูล ก็ยังต้องอาศัยการมีเว็บไซต์ที่ชัดเจนและเป็นระเบียบมากกว่านั่นเองจ้า
3. การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่นที่หลากหลาย
เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่คนทำตลาดออนไลน์นิยมใช้กันมาก คือ การใช้เว็บไซต์เป็นหน้าร้านในการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เช่น Facebook, Line, IG, Youtube, Tiktok เป็นต้น เพื่อเก็บรวบรวมลูกค้าในที่เดียว ซึ่งมีความยืดหยุ่นแล้วแต่กลุ่มเป้าหมายหลักของแต่ละองค์กร
นอกจากนี้เรายังไม่ต้องกังวลเรื่องโซเชียลตัวไหนจะเสื่อมความนิยม เพราะในอนาคตเราไม่รู้แน่ชัด ไม่มีใครคาดเดาได้ เช่นเดียวกันกับ Hi5 ในยุคแรกๆ แต่ถึงแม้ว่า Facebook จะมีคนใช้งานน้อยลงและมีตัวอื่นขึ้นมาแทน เราก็ยังสามารถเชื่อมโยงเว็บของเราไปกับเครื่องมือโซเชียลอื่นๆแทนได้อีกต่อไป
ซึ่งลูกค้าเราก็ยังคงรู้จักแบรนด์เรา ค้นหาเราเจอใน Google ต่อไปจ้า แต่หากเราฝากชีวิตไว้ที่ Facebook Page เพียงอย่างเดียว ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับ หลายๆท่านที่ทักมาถาม บางรายถึงกับร้องไห้ เสียดายลูกค้า เสียดายเวลา และไม่รู้ว่าจะติดต่อลูกค้าได้อีกในช่องทางใด เพราะทุกอย่างอยู่บน Facebook Page เพียงที่เดียวเท่านั่น
เว็บผึ้งงานแนะนำว่าควรทำควบคู่กันไปจ้า จากเว็บไซต์ เชื่อม Facebook เชื่อม Youtube ค่อยๆเชื่อมไปทีละช่องทาง มีคำกล่าวเรื่องการลงทุน ที่ยังคงใช้ได้ผลในทุกยุคทุกสมัย คือ "อย่าใส่ไข่ ไว้ในตระกร้าใบเดียว" อะไรที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของก็ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าเป็นธรรมดา ประหนึ่งว่าบ้านที่เราเช่าอยู่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไล่เราเมื่อใด แต่หากเป็นบ้านของตัวเองก็หมดปัญหาสบายใจได้ ก็มีเพียงค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบำรุงรักษา ที่ต้องจ่ายก็เท่านั้น
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านและขอเป็นกำลังใจให้ท่านที่กำลังฟันฝ่าปัญหาเรื่อง Facebook ถูกระงับ ลูกค้าหาย ถูกปิดกั้นการมองเห็นและปัญหาอื่นๆ ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เว็บผึ้งงานเชื่อว่า ยิ่งเราเจอปัญหาใหญ่และสามารถผ่านไปได้ ต่อไปอะไรๆก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ความสำเร็จที่รออยู่ในภายภาคหน้าจะยิ่งใหญ่กว่าเสมอ